บทความ / ข่าว

รัฐไทยกับการลดอคติต่อการทำแท้ง
25/05/2017 21:44
รศ.ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บรรยายเรื่อง "รัฐไทยกับการลดอคติต่อการทำแท้ง" ในการประชุมขับเคลื่อนเชิงนโยบายเรื่อง "แชร์ต่อไป--เพื่อไม่ให้ผู้หญิงไทยตายจากการทำแท้ง การขับเคลื่อนเพื่อสนับสนุนทางเลือกของผู้หญิงที่ท้องไม่พร้อม ครั้งที่ 43"
 
จัดขึ้นเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2560 ณ ห้องประชุมสานใจ อาคารสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข โดย สคส. ร่วมกับเครือข่ายสนับสนุนทางเลือกของผู้หญิงที่ท้องไม่พร้อม, กลุ่มทำทาง, มูลนิธิแพธทูเฮลท์, แผนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ, มูลนิธิศักยภาพชุมชน และมูลนิธิมานุษยะ
 

ทุกรัฐในโลกนี้ ในการกำหนดนโยบายหรือมาตรการต่างๆ ที่จะดูแลหรือจัดการกับพลเมืองของตัวเอง นโยบายเหล่านั้น มีอคติทั้งสิ้น

ฉะนั้น ถ้าถามว่ารัฐไทยจะลดอคติต่อการทำแท้งได้อย่างไร ตอบว่าเป็นไปไม่ได้ แต่จะชวนให้ลองมาตรวจสอบกันดูว่า รัฐไทยมีอคติในเรื่องเพศอย่างไร อคติที่กลายเป็นฐานของนโยบายสาธารณะและมาตรการทั้งหลายทั้งปวงที่กระทบชีวิตของเราอย่างไร และอคติที่สะท้อนอยู่ในกฎหมายและนโยบายของรัฐ ในที่สุดแล้วเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ของคนที่ท้องไม่พร้อมอย่างไร ซ้ำเติมสถานการณ์การทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยอย่างไร
 
อคติเรื่องเพศของรัฐไทยเป็นอย่างไร?
 
ฐานแรกที่ควรจะมองก็คือ รัฐไทยเหมือนกับคนหลายกลุ่มในสังคมไทย ที่มีแนวโน้มจะมองเรื่องเพศในทางลบ ลบมาก เรื่องเพศเป็นเรื่องสกปรก อันตราย และกลัวเรื่องเพศมาก ฉะนั้นต้องจำกัดพื้นที่ให้อยู่ เรื่องเพศที่ดีงามจึงอยู่ในสถาบันการแต่งงานแบบผัวเดียวเมียเดียว เพื่อการเจริญพันธุ์เท่านั้น และควรจะรักเดียวใจเดียวด้วย รวมทั้งมีองค์ประกอบของเรื่องเพศที่ดีอยู่เยอะมาก 
 
เรื่องเพศในสถาบันการแต่งงานยังเกี่ยวข้องกับการเจริญพันธุ์ เรามองว่า เรื่องของการเจริญพันธุ์และเลี้ยงดูเด็ก ควรเกิดในสถาบันการแต่งงานแบบผัวเดียวเมียเดียว โดยครอบครัวแบบผัวเดียวเมียเดียวทำหน้าที่ในการเลี้ยงเด็ก 
 
เหล่านี้กลายเป็นฐานสำคัญในการคิดของรัฐ รัฐไทยให้ความสำคัญกับครอบครัวมาก เมื่อใดที่ครอบครัวแบบผัวเดียวเมียเดียวสั่นคลอด แปลว่ารัฐใกล้จะพินาศชิบหายแล้ว
 
ความคิดทั้งหมดนี้ถูกนำมาผูกรวมกัน กลายเป็นนโยบายสาธารณะ 
 
แต่เรื่องเพศไม่ยอมถูกจำกัด ถ้าเซ็กซ์ยอมถูกจำกัดโดยสยบยอมแต่โดยดี เราคงไม่ต้องมาประชุมเครือข่ายฯ กันหลายครั้งอย่างนี้ 
 
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
 
เพราะความต้องการทางเพศเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ และอารมณ์อื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับความเป็นเพศ ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความอบอุ่น ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ของเรา แต่เนื่องจากรัฐและคนอีกหลายกลุ่มที่มีอำนาจในรัฐ มีแนวโน้มมองเรื่องเพศในทางลบ รังเกียจมาก ดังนั้นแทนที่จะทำให้คนตระหนักรู้ว่าความต้องการทางเพศเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ เราจึงเห็นแนวทางหลักในการขู่ ประณาม ห้าม เพื่อจัดการเรื่องเพศของผู้คนในสังคม
 
แต่สิ่งที่ขู่ ประณาม ห้าม คือเซ็กซ์นั้น มีนัยยะทางบวกสำหรับมนุษย์ เพราะผูกพันอยู่กับความรักความผูกพันและความรู้สึกอื่นๆ สิ่งที่ตามมาก็คือ มนุษย์ในรัฐไทยไม่ค่อยตระหนักว่าตัวเองมีความต้องการทางเพศ และเป็นเรื่องธรรมดา
 
เมื่อคนไม่ตระหนักรู้ ไม่ได้ถูกเสริมสร้างพลังอำนาจในการจัดการกับความต้องการทางเพศของตัวเอง เลยออกมาประหลาดๆ เกือบรู้แต่ไม่รู้อยู่ตลอดเวลา คนมากมายในรัฐนี้มีวิธีสนองความต้องการทางเพศในรูปแบบที่ไม่ยอมจำนนอยู่ในกรอบ มีลักษณะส่วนตัวอยู่มากมาย ทั้งนี้ เป็นเพราะเราไม่สามารถมองเห็นว่าความต้องการทางเพศเป็นสิ่งที่มีอยู่เป็นธรรมดาของมนุษย์ เรากำลังคาดหวังในสิ่งที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง

วิธีคิดเช่นนี้ ในที่สุด เป็นการผลิตสิ่งที่เรียกว่า “ท้องไม่พร้อม” เพราะคนไม่ตระหนักรู้ถึงความต้องการทางเพศของตัวเอง ไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับอีกฝ่ายหนึ่ง ท้องไม่พร้อมไม่ได้เกิดจากการนิยามเช่นนี้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องยอมรับว่ามีคนมากมายที่ท้องนอกกรอบ กลายเป็นท้องไม่พร้อมโดยปริยาย
 
กลายเป็นการท้องนอกกรอบ ในสถานการณ์ที่หลายฝ่ายขู่ ประณาม ห้าม 
 
กรอบเช่นนี้ของสังคม ผลิต “ท้องไม่พร้อม” ในหลายรูปแบบ ท้องไม่พร้อมแล้ว สิ่งที่ต้องเผชิญก็คือการถูกประณาม และพยายามจะลงโทษ อีกเรื่องที่ไม่ควรลืม รัฐยกหน้าที่ในการเลี้ยงเด็กให้คนที่ทำให้เด็กเกิดมาเท่านั้น  ไม่เช่นนั้นสื่อต่างๆ คงไม่ลงข่าวด่าคนซ้ำๆ มาเป็นสิบๆ ปีว่า ทำให้เกิดมาแล้วทำไมไม่ยอมเลี้ยง
 
การมอบหน้าที่เช่นนี้ คนที่รู้ตัวว่าไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กด้วยข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ สังคม และอื่นๆ กลายเป็นท้องไม่พร้อมไปในทันที
 
ขณะนี้ รัฐไทยกำลังเผชิญสถานการณ์ที่คนมากมายไม่อยากเจริญพันธุ์ การเกิดของคนลดลงอย่างน่าหวาดกลัว คำถามน่าคิดคือ รัฐไทยทำอะไรหรือไม่กับภาระในการเลี้ยงดูเด็กของพลเมือง ข้อเท็จจริงก็คือ รัฐไทยทำอะไรน้อยมาก 
 
มีการพูดถึงแรงจูงใจในทางภาษี และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับด้านเศรษฐกิจ การเลี้ยงดูเด็กไม่ได้แพงอย่างเดียว แต่สิ่งที่ลงทุนสูงสุด คือการลงทุนทางอารมณ์และจิตวิญญาณ ซึ่งแพงกว่าเงินมาก แต่รัฐไทยตระหนัก เนื่องจากมีกรอบที่แน่นหนามากว่าอะไรถูกอะไรผิด 
 
กรอบเช่นนี้ทำให้เกิดสถานการณ์​ “ไม่ถูก” “ไม่พร้อม” เมื่อคนตั้งครรภ์ รวมทั้งการเลี้ยงดูเด็กที่รัฐไทยไม่ช่วยเหลือ 
 
เมื่อเกิดเหตุ “ท้องไม่พร้อม” รัฐไทยได้เลือกให้พลเมืองของตัวเองแล้ว ว่ามีทางเลือกไหนบ้างที่เลือกได้ หรือเลือกไม่ได้ การยุติตั้งครรภ์ถูกรัฐเลือกแล้วว่า เป็นทางเลือกที่ห้ามพลเมืองของตัวเองเลือก 
 
รัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือคนอื่นๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับสิทธิในการเลือกที่จะยุติการตั้งครรภ์ของผู้หญิง กล่าวว่ามีทางเลือกอื่นเยอะแยะ การพูดเช่นนี้ทำไม่ได้ เพราะต้องยอมรับความจริงว่า “ทางเลือกอื่น” ที่ว่ามานั้นไม่ได้มีอยู่จริง เช่น ไม่เป็นไร เก็บตัวอ่อนไว้ ยกให้คนอื่นเลี้ยง รับบุตรบุญธรรม ฯลฯ มีอยู่จริงหรือไม่ ไปดูจริงๆ แล้วเราจะพบว่ารัฐไม่ได้ช่วยใครเลย 
 
“การเน้นการป้องกัน” เป็นสิ่งที่มีคนพูดอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้คนเข้าสู่สถานการณ์ท้องไม่พร้อม ด้วยการฝากไว้กับการศึกษา 
 
การศึกษาว่าด้วยเรื่องเพศในสังคมไทยอยู่บนพื้นฐานความกลัว และวิธีจัดการแบบขู่ ประณาม ห้าม การเรียนรู้เรื่องเพศของเรากลายเป็นการเรียนเพื่อไม่ให้รู้ เพราะกลัวว่ารู้แล้วเดี๋ยวทำ แต่ความเป็นจริงคือ ไม่รู้ก็ทำ ปัญหาจึงแก้ไม่ได้ เพราะมาจากอคติที่เป็นฐานนโยบายที่รัฐกลัวเรื่องเพศอย่างลนลาน 
 
“การทำแท้งบาป เราเป็นเมืองพุทธ การทำแท้งคือการฆ่า” ดิฉันไม่เถียงเรื่องบาปหรือไม่ แต่เราจะไม่ให้คนในสังคมนี้ เลือกบาปของตัวเองเลยอย่างนั้นหรือ ถ้าจะไม่ยอมให้คนสามารถเลือกว่าจะจัดการกับสถานการณ์ในชีวิตของตัวเองอย่างไร ซึ่งการจัดการสถานการณ์ชีวิตยากที่จะบอกว่าทางไหนถูกหรือผิด ถ้าไม่ยอมให้เลือกเอง แปลว่ารัฐมองพลเมืองเป็นเด็กที่ไม่มีวันโต 
 
วิธีเห็นพลเมืองแบบนี้ ทำให้เราต้องเจอกันเป็นระยะ เพื่อคุยกันเรื่องท้องไม่พร้อม และการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย
 
เวลาที่พูดเรื่องอคติ เรื่องเพศ หลายคนสงสัยว่าจะพูดเรื่องนี้ไปทำไม 
 
ถ้าท่านไม่คิดเรื่องอคติ ท่านก็ผลิตซ้ำอคติ คงถึงเวลาที่ต้องขุดรากขึ้นมาดู ว่าแนวนโยบายของรัฐตั้งอยู่บนฐานแบบไหน ไม่เช่นนั้น สู้ไปก็แพ้ แล้วจะสงสัยว่าทำไมรัฐไม่มีความกรุณา เพราะรัฐให้ความกรุณากับพลเมืองที่เป็นขบถทางเพศไม่ได้ รัฐแบบนี้ไม่เห็นความสามารถของพลเมืองที่จะเลือก ไม่หล่อเลี้ยงเพื่อให้พลเมืองมีพลังอำนาจในการเลือก เพราะรัฐเลือกให้แล้ว ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
 
ดิฉันเชิญชวนให้ตรวจสอบอคติของรัฐ และร่วมกับกล่าวหารัฐไทย ว่าเป็นผู้สนับสนุนและผลิตซ้ำสถานการณ์ท้องไม่พร้อม ที่ทำให้คนมากมายบาดเจ็บล้มตาย รัฐนั่นแหล่ะที่ไม่เปิดทางเลือกให้พลเมืองจัดการกับปัญหาตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ในชีวิตของตัวเอง ฉะนั้น รัฐไม่ใช่ที่พึ่ง รัฐไทยคือตัวปัญหา